เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอดผู้จัดการทีมชาวสเปน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ใช้เวลาหลายปีในการลองผิดลองถูกเพื่อทำให้พลพรรค “เรือใบสีฟ้า” ก้าวขึ้นมาเป็นทีมเบอร์ 1 ของวงการลูกหนังเมืองผู้ดีตลอดปลายปีที่ผ่านมา
อดีตกุนซือ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ในศึกลา ลีกา สเปน และ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ในศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ซึ่งเคยคว้าแชมป์มามากมายนั้น ค่อยๆปรับจูน หาความเหมาะสม และความสมดุลทำให้ แมนฯ ซิตี้ ก้าวขึ้นมาเป็นยอดทีมของอังกฤษ และ วงการฟุตบอลยุโรป
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โฟกัสไปที่การแก้ไขจุดบกพร่องของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
หนึ่งในพื้นที่หลักที่ กวาร์ดิโอล่า และทีมงานสตาฟฟ์ของเขาทำงานหนักที่สุดในฤดูกาลที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ การจัดการจากลูกตั้งเตะที่ริมเส้นทั้ง 2 ฝั่ง โดยในปีที่ผ่านมา พลพรรค “เรือใบสีฟ้า” เสียประตูไปเพียงลูกเดียวในพรีเมียร์ลีกจากลูกเตะมุมในเกมกับ แอสตัน วิลล่า และยิงได้ถึง 21 ประตูจากลูกเตะมุม
ถึงแม้จะมีสถิติที่ดีในการรับมือ และใช้ประโยชน์จากลูกตั้งเตะ แต่ กวาร์ดิโอล่า ก็ยังรู้ดีว่า แมนฯ ซิตี้ ชุดนี้ยังมีจุดอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับมือจากการโต้กลับไวของคู่แข่ง อาทิ ในเกมที่บุกไปเสมอกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-2 ที่สนาม ลอนดอน สเตเดี้ยม
ในเกมที่เสมอกับ เวสต์แฮม ของ เดวิด มอยส์ โค้ชชาวสก็อตแลนด์ นั้น แมนฯ ซิตี้ โดนทีเด็ดจากตัวรุกที่มีสปีดจัดของ “ขุนค้อน” อย่าง มิคาอิล อันโตนิโอ และ จาร์ร็อด โบเว่น ที่คอยใช้ความเร็ว และความแข็งแกร่งป่วนนแนวรับ “เรือใบสีฟ้า” ตลอดทั้งเกม
อย่างไรก็ตาม สำหรับ กวาร์ดิโอล่า นั้น การให้แนวรับดันขึ้นสูงไปถึงกลางสนามมันเป็นความเสี่ยงที่คุ้มค่า และมันมาพร้อมกับการครอบคุลมพื้นที่ในแดนคู่แข่งด้วยการมีจำนวนผู้เล่นที่มากกว่า ซึ่งเทรนเนอร์วัย 51 ปี ต้องการให้ลูกทีม แมนฯ ซิตี้ หยุดเกมโต้กลับเร็วตั้งแต่ในแดนของคู่ต่อสู้ด้วยการบีบแย่งบอลมาโดยเร็วที่สุด และมันก็ใช้ได้ผลในหลายๆครั้ง
การครองบอลได้มากกว่าคู่แข่งไม่ได้หมายความว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ
ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ มีเกมแปลกๆ อยู่บ้าง อาทิ ในเกมที่เปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม ไล่ถล่มพลพรรค “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ ของ แบรเดน ร็อดเจอร์ส กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือไปแบบสบายๆ 6-3 เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
ในเกมดังกล่าว แมนฯ ซิตี้ ของ กวาร์ดิโอล่า ขึ้นนำไปก่อน 4-0 ในเวลาเพียง 25 นาทีแรกจาก เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์ชาวเบลเยียม, ริยาด มาห์เรซ ปีกชาวแอลจีเรีย, อิลกาย กุนโดกัน กองกลางชาวเยอรมัน และ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ตัวรุกชาวอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งเวลาหลัง ลูกทีมของ ร็อดเจอร์ส ใช้เวลาเพียง 10 นาที ซัดคืน 3 ประตูรวดจาก เจมส์ เมดดิสัน, อเดโมล่า ลุคแมน และ เคเลซี่ อิเฮียนาโช่
ก่อนที่ อายเมริค ลาปอร์ต กองหลังชาวฝรั่งเศสจะซัดให้ แมนฯ ซิตี้ หายใจโล่งขึ้น และ สเตอร์ลิ่ง ซัดประตูปิดท้ายพาทีมเก็บ 3 คะแนน
กวาร์ดิโอล่า เคยออกมายอมรับว่า บางครั้งการควบคุมบอล และการครอบครองบอลไว้กับตัวเองนานเกินไปไม่เพียงพอที่จะทำให้ทีมชนะคู่แข่งได้ในทุกๆเกม แต่สำหรับเขามันก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะพาทีมไปสู่การได้ประตู
สำหรับแนวทางของ กวาร์ดิโอล่า นั้น การครองบอลไว้กับตัวเองเป็นการเสี่ยงที่จะพ่ายแพ้น้อยที่สุด เนื่องจากคู่ต่อสู่จะไม่สามารถสร้างสรรค์เกมรุกได้เลย และมีโอกาสน้อยมากที่จะขึ้นมาลุ้นทำประตูบริเวณหน้ากรอบเขตโทษของ แมนฯ ซิตี้
ผู้เล่นแนวรับของ แมนฯ ซิตี้ อย่าง จอห์น สโตน, ลาปอร์ต รวมถึง รูเบน ดิอาส เซ็นเตอร์แบ็คทีมชาติโปรตุเกสที่คว้ามาจาก เบนฟิก้า ในลีกสูงสุดแดนฝอยทองเมื่อปี 2020 เป็นนักเตะที่สามารถครองบอลได้อย่างยอดเยี่ยม และสามารถพาบอลขึ้นมาเปิดเกมรุกจากแดนหลังได้
ขณะที่ในแดนกลางนักเตะอย่าง เดอ บรอยน์, โรดรี, กุนโดกัน และ แบร์นาโด ซิลวา เป็นมิดฟิลด์จอมเทคนิคที่สามารถครองบอลไว้กับตัวเองได้สบายๆ และสร้างสรรค์เกมรุกจากพื้นที่นอกกรอบเขตโทษของคู่แข่งได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่า ฟุตบอลไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ที่ระบุว่า ผู้ครองบอลมากกว่าจะเป็นฝ่ายเอาชนะ แต่สำหรับ กวาร์ดิโอล่า และ แมนฯ ซิตี้ นั้น พวกเขายังคงยึดแนวทางนี้ต่อไป และดูเหมือนว่า มันจะเป็นสไตล์การเล่นที่แฟนบอลในเมืองผู้ดีคุ้นเคยกันไปแล้ว
ขณะเดียวกัน กวาร์ดิโอล่า ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แนวทางการทำงานของเขาได้ผล ซึ่งวัดจากการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 4 สมัย จาก 6 ปีที่เขาเข้ามาทำงานในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม และดูเหมือนว่า มันคงไม่หยหยุดอยู่แค่นี้แน่นอน