ย้อนกลับไปในปี 2016 หลังจากที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นั้น นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า อดีตกุนซือ บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค ที่เคยคว้าแชมป์มามากมาย อาจไม่ประสบความสำเร็จกับการทำงานในเมืองผู้ดี
อย่างไรก็ตาม การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 4 ในรอบ 5 ฤดูกาล กับ แมนฯ ซิตี้ นั้น ทำให้หลายคนเลิกสงสัยในตัว กวาร์ดิโอล่า ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งปัจจุบัน เทรนเนอร์ชาวสเปนวัย 51 ปี ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า แนวทางของการทำงานของเขาได้เปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลในประเทศอังกฤษไปอย่างมาก
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้สร้างอิทธิพลเชิงบวก
กวาร์ดิโอล่า เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลายๆสโมสรในเมืองผู้ดีปรับมาใช้รูปแบบการเล่นขึ้นบอลจากผู้รักษาประตู การที่จะให้ทีมตัวเองกล้าครองบอล การสร้างสรรค์เกมรุกที่สวยงาม และยังรวมไปถึงการให้โอกากับบรรดานักเตะเยาวชนในทีมอีกด้วย
นายใหญ่เลือดกระทิงดุพัฒนาตัวเองมาตลอดตั้งแต่สมัยที่คุม บาร์เซโลน่า ต่อด้วย บาเยิร์น และล่าสุดกับ แมนฯ ซิตี้ ที่เขาเพิ่งคว้าตัว เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กองหน้าทีมชาตินอร์เวย์มาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในบุนเดสลีกา ก็แสดงให้เห็นว่า กวาร์ดิโอล่า ปรับวิสัยทัศน์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ แมนฯ ซิตี้ การมาถึงของ ฮาแลนด์ เป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่า กวาร์ดิโอล่า พร้อมแล้วที่จะสร้างความสำเร็จในระระยาวให้กับพลพรรค “เรือใบสีฟ้า” แม้อนาคตของเขาในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม ยังคงไม่แน่นอนก็ตาม
กวาร์ดิโอล่า ใช้ชีวิตในเมืองแมนเชสเตอร์มา 6 ปีแล้ว และถึงแม้เขาจะมาในฐานะโค้ชที่โด่งดังที่สุดแห่งยุค แต่เขาก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ และฟุตบอลอังกฤษก็ทำให้เจ้าตัวเปลี่ยนบางอย่าง เกี่ยวกับมุมมองของตัวอง
กวาร์ดิโอล่า เข้ามาทำงานกับ แมนฯ ซิตี้ ด้วยความมั่นใจ และมีความเชื่อมั่นในตัวเองว่า ทำให้ แมนฯ ซิตี้ สามารถควบคุมเกม และกำหนดจังหวะได้ด้วยมิดฟิลด์ตัวกลางที่ไม่แข็งแกร่ง ซึ่งมันคือ สิ่งที่เขาเคยทำในอดีตกับการใช้งาน ชาบี เอร์นานเดซ ที่ บาร์เซโลน่า และ โจชัว คิมมิช ที่ บาเยิร์น
อย่างไรก็ตาม อดีตนายใหญ่ บาร์ซ่า รู้อย่างรวดเร็วว่า วิธีทำการที่เคยทำมาในอีดีตนั้น มันใช้ไม่ได้ผลในศึกพรีเมียร์ลีก ในอังกฤษ เพราะคุณต้องมีมิดฟิลด์ตัวกลางที่แข็งแกร่งในการต่อสู้กลางอากาศ และเอาชนะคู๋แข่งในการจะงหวะปะทะแบบ 50-50
โรดรี ห้องเครื่องชาวสเปนที่ แมนฯ ซิตี้ คว้ามาจาก แอตเลติโก มาดริด ในลา ลีกา เมื่อปี 2019 เป็นตัวอย่างที่ดีของผู้เล่นตามแบบฉบับที่ กวาร์ดิโอล่า ต้องการมาตลอด นอกจากนี้ เขายังคิดว่า มิดฟิลด์ตัวกลางต้องทำหน้าที่เป็นกองหลังด้วย เมื่อฟูลแบ็ค 2 ฝั่งเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเพื่อเล่นเกมรุก ดังนั้น กองกลางจึงต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเพื่อรับมือกับหน้าที่ดังกล่าว
รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
มุมมองของ กวาร์ดิโอล่า เกี่ยวกับการตัดสินก็เป็นที่รู้จักกันดีเช่นกัน โดยเขาเชื่อมั่นว่า ผู้ตัดสินชาวอังกฤษมีชอบปล่อยให้เกมไหลลื่นมากกว่าผู้ตัดสินของประเทศอื่นๆ ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเขาด้วยเช่นกัน
ประเด็นเรื่องกรรมการนั้น กวาร์ดิโอล่า รู้สึกว่า เขาต้องการผู้เล่นที่ร่างกายใหญ่กว่า และแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งในบางตำแหน่งเพื่อรับมือกับมัน เพราะหากโดนปะทะล้มลง ลูกทีมของเขาควรลุกขึ้น และพร้อมที่จะไปต่ออีกครั้ง เพราะการถูกสกัดในอังกฤษจะไม่ได้ฟาวล์บ่อยเท่ากับฟุตบอลลีกของประเทศอื่นๆ
ขณะเดียวกัน ในรูปแบบการเล่น กวาร์ดิโอล่า ให้ แมนฯ ซิตี้ มีการเพิ่มนักเตะตำแหน่งฟูลแบ็คเข้ามาช่วยงานมิดฟิลด์ตัวกลางมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ เจ้าตัวเริ่มใช้ในเยอรมันกับ บาเบิร์น และฟุตบอลอังกฤษก็ได้แสดงให้เขาเห็นว่า บางครั้งมิดฟิลด์ก็ต้องการผู้ช่วยเช่นเดียวกัน
ฟูลแบ็ค 2 ฝั่ง ของ แมนฯ ซิตี้ อย่าง ชูเอา กันเซโล่ และ ไคล์ วอลค์เกอร์ สามารถไปสนับสนุนเกมรุก แลฃะช่วยควบคุมพื้นที่ส่วนกลางของสนามด้วยการครองบอล และยังช่วยเก็บตกบอลในจังหวะ 2 เมื่อคู่แข่งกำลังสกัดออกมาอีกด้วย
กวาร์ดิโอล่า รู้ดีว่า ฟุตบอลอังกฤษเล่นกันอย่างหนักหน่วง และดุเดือดมากกว่าที่เขาเคยเจอมาในสเปน และเยอรมัน ซึ่งมันไม่ต่างจากนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวทสไตล์บู๊ที่เดินหน้าชกกันตลอดทั้ง 12 ยก และคนที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นฝ่ายชนะไป
อดีตนายใหญ่ บาร์ซ่า และ บาเยิร์น มีความเข้าในเกมสูงมาก ยกตัวอย่างในเกมลีกที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านไล่ถล่ม นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 5-0 เมื่อปลายซีซั่นที่ผ่านมานั้น เขาสั่งให้ กันเซโล่ ซึ่งเป็นแบ็คซ้ายขึ้นไปเติมเกมสูงตลอดเวลาเพื่อกดดันไม่ให้ อัลลัน แซงต์-แม็กซิแม็ง ปีกขวาตัวเก่งของ “สาลิกาดง” เล่นเกมรุกได้เลยและมันก็ได้ผล
กวาร์ดิโอล่า มีประสบการณ์โชกโชน และนำบทเรียนต่างๆมาปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้การทำงานของเขากับ แมนฯ ซิตี้ แทบจะไม่มีปัญหา และดูหมือนว่า พลพรรค “เรือใบสีฟ้า” จะเริ่มกำจัดจุดอ่อนไปทีละอย่างตั้งแต่เขาเข้ามากุมบังเหียนในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม