ในเลกแรก แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านเอาชนะ มาดริด ไปหวุดหวิด 4-3 ซึ่งในเกมที่ 2 พวกเขาก็บุกไปนำ “ราชันชุดขาว” ก่อน 1-0 ทั้งที่เหลืออีกเพียง 15 นาทีจะจบเกม แต่กลับโดนเจ้าบ้านยิง 3 ประตูรวดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ส่งผลให้ “เรือใบสีฟ้า” ตกรอบด้วยสกอร์รวม 6-5
ย้อนกลับไปในฤดูกาลที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ ของ กวาร์ดิโอล่า และ ลิเวอร์พูล ของ คล็อปป์ ต้องลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกันไปจนถึงนัดสุดท้าย ซึ่งผลสรุปตลอด 38 เกม คือ “เรือใบสีฟ้า” เฉือน “หงส์แดง” คว้าแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีไปครองเพียงแต้มเดียวเท่านั้น
เดล บอสเก้ ประสบความสำเร็จอย่างมากมายด้วยการพาสเปนคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก และแชมป์ยูโร มาแล้ว รวมถึงพา มาดริด คว้าแชมป์ลา ลีกา และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยเช่นกัน ซึ่งคำพูดของเขานั้น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึก พรีเมียร์ลีก ก็คงนำมาใช้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป และมีประสบการณ์มากขึ้นจากจุดเริ่มต้นที่ บาร์เซโล่นา ในระหว่างปี 2008-2012 จากนั้นก็ไปคุม บาเยิร์น มิวนิค ในบุนเดสลีกา ระหว่างปี 2013-2016 ก่อนจะโยกมาคุม แมนฯ ซิตี้ ในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี เมื่อปี 2016 ถึง ปัจจุบันนั้น กวาร์ดิโอล่า ก็เริ่มเปิดใจว่า บางสิ่งบางอย่างมันอยู่เหนือการควยคุมของเขา
อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่ กวาร์ดิโอล่า พา แมนฯ ซิตี้ เข้าไปถึงแค่รอบตัดเชือกในศึก เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากต้องตกรอบด้วยฝีมือของ ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำของ เจอร์เก้น คล็อปป์ โค้ชชาวเยอรมัน และ เรอัล มาดริด ของ คาร์โล อันเชล็อตติ เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียน ตามลำดับ
